บริษัทคลินิคจิต-ประสาท

 ห้องรับแขก

กลับไป ความรู้เรื่องโรคทางจิตเวชและปัญหาพฤติกรรม      

 

 

 

คู่มือครู

 ปัญหาพฤติกรรมที่พบบ่อยในนักเรียนและแนวทางการแก้ไข

ผศ.  นพ.  พนม  เกตุมาน  สาขาวิชาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น  ภาควิชาจิตเวชศาสตร์

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล  มหาวิทยาลัยมหิดล

                ปัญหาที่พบบ่อยในนักเรียนแบ่งได้เป็น  2  ระดับ  คือระดับประถมศึกษา  (เด็กอายุ 6-12  ปี )  เป็นวัยเรียน  หรือวัยเด็กโต  และระดับมัธยมศึกษา (เด็กอายุ  12-18  ปี) ซึ่งเป็นวัยรุ่น   

ปัญหานักเรียนประถมศึกษา

 ปัญหาการเรียน

·       เรียนอ่อน

·       ไม่ตั้งใจเรียน

·       หนีเรียน

สาเหตุ  ขาดแรงจูงใจ  สติปัญญาต่ำ  ซึมเศร้า  สมาธิสั้น   LD (Learning Disabilities)  โรคทางกาย

การช่วยเหลือที่โรงเรียน

1.       สร้างแรงจูงใจในการเรียน 

·       เด็กรู้สึกว่าเป็นที่รักของครูและเพื่อน

·       เด็กมีส่วนร่วมในการเรียนรู้

·       วิธีการจัดประสบการณ์เรียนรู้และบรรยากาศในการเรียนสนุก  เรียนแบบบูรณาการ 

·       มีวิธีนำสู่บทเรียน  ใช้กิจกรรมหลากหลาย

·       สร้างความรู้สึกอยากเรียน  อยากรู้ว่ามีอะไรต่อไป  สิ่งที่เรียนรู้จะเอาไปใช้ในชีวิตจริงอย่างไร  นำปัญหาหรือเหตุการณ์ในชีวิตจริงที่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้มานำสู่การเรียน

·       ใช้อารมณ์ขัน เรื่องตลกที่เกี่ยวข้อง  ข้อคิดประทับใจ 

·       ลดความเครียดในการเรียนที่ไม่จำเป็น ครูไม่เป็นกันเอง   ครูดุ ทำโทษมากเกินไป  ใช้เวลาในการบ่น  ดุเด็กที่ไม่ได้อยู่ในห้อง  ทำโทษกลุ่ม  ไม่ได้สอน  สอนไม่เข้าใจ  สอนเร็วเกินไป  ให้งานเยอะ  การบ้านเยอะ 

·       เรียนเข้าใจ/รู้เรื่อง

2.       จัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม

·       การจัดตำแหน่งเด็ก

·       จัดที่นั่งใหม่  แบบวงกลม  วงกลมซ้อนกัน  กลุ่มย่อยหลายกลุ่ม  ไม่มีกลุ่ม 

·       เรียนนอกห้องเรียน  ใต้ต้นไม้  สวนหย่อม  ห้องประชุม  ห้องฝึกสมาธิ

·       เรียนนอกโรงเรียน  ในวัด  ในโบสถ์  สวนสาธารณะ  หอศิลป์  พิพิธภัณฑ์  โรงเรียนอื่น  ศูนย์เยาวชน  โรงพยาบาล

3.       เปลี่ยนบรรยากาศ

4.       ใช้วิธีการสอนหลายแบบ ให้สนุก  ประทับใจ  จับคู่  กลุ่มผึ้ง(Buzz Group)  กลุ่มใหญ่  เขียนเว็บ  แผนที่ความคิด (Mind Map)  ระดมสมอง(Brain  Storming)   จัดระบบความคิด (Affinity  Diagram)

5.       ฝึกให้เขียน  บันทึก  คิดวิเคราะห์ด้วยตัวเอง

6.       ฝึกให้เด็กสังเคราะห์  คิดหาคำตอบที่หลากหลาย 

7.       มีการทดลองพิสูจน์สิ่งที่คิด  หรือเรียนรู้  กล้าท้าทายการสอนของครู

 

กลัวโรงเรียน/ไม่ยอมไปโรงเรียน

สาเหตุ   ความกังวลจากการพลัดพราก  โรควิตกกังวล  โรคซึมเศร้า

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1.       รับเด็กจากพ่อแม่ตอนเช้า  มีการนัดหมายตกลงกันล่วงหน้า

2.       ให้พ่อแม่กลับอย่างรวบรัด  ไม่ให้เสียเวลา  ไม่ให้พูดมาก   

3.       พาเด็กเข้ากลุ่มเพื่อน  เบนความสนใจเด็ก  สร้างความสงบและคุ้นเคย 

4.       ชวนเด็กเข้าร่วมกิจกรรมเหมือนเด็กอื่น  เท่าที่จะทำได้

5.       ให้เพื่อนช่วยพาเข้าร่วมกิจกรรม

6.       ถ้าเด็กไม่ร่วมมือ  ให้อยู่กับครูคนใดคนหนึ่ง  ในห้องสมุด  ห้องพยาบาล  ห้องครูผู้ช่วย  ครูแนะแนว  ให้กิจกรรม

7.       ชักชวนเด็กคุย เป็นกันเอง 

8.       ฝึกทักษะการผ่อนคลายตนเอง    ดนตรี  ศิลปะ  ฝึกลมหายใจ  โยคะ  สติ สมาธิ

 

ขี้กังวล

สาเหตุ   พื้นอารมณ์หรือนิสัยเดิม   พ่อแม่ขี้กังวล   การเลี้ยงดูที่เข้มงวด  รุนแรง  ถูกดุ ถูกทำโทษ โรควิตกกังวล

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1.       สร้างความคุ้นเคย  เป็นกันเอง

2.       เปิดโอกาสให้เด็กแสดงออก  ทีละน้อย  ให้กำลังใจ 

3.       ชวนเด็กคุย  ให้เด็กเล่าเรื่องที่วิตกกังวล

4.       กระตุ้นให้เด็กคิดหาทางออกด้วยตัวเอง

5.       ชวนให้เด็กคิดหลายๆด้าน  มองทางด้านดี

6.       ฝึกให้เด็กเผชิญความกลัว  ทีละน้อย 

7.       ลดการล้อเลียน  การขู่  การดุ  ที่ไม่ได้ผล

8.         ฝึกการผ่อนคลายตนเอง  การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

9.         ฝึกสติ/สมาธิ

 

ซึมเศร้า

สาเหตุ  ปัญหาในครอบครัว  การคิดในแง่ร้าย  การมองโลกในแง่ร้าย  ถูกประณามประจาน เปรียบเทียบ  โรคซึมเศร้า

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1.       สร้างความเป็นกันเอง  ความคุ้นเคย  เป็นหลัก  ให้เด็กรู้สึกว่ามีคนที่เข้าใจ

2.       กระตุ้นให้เด็กเล่าเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ  กล้าเล่า  กล้าแสดงออก

3.       ให้กำลังใจ  ชี้แนะแนวทางแก้ไข  ช่วยเหลือในโอกาสที่ทำได้

4.       ให้โอกาสเด็กแสดงออก ใช้กิจกรรมกลุ่ม  ให้เด็กเป็นที่ยอมรับของเพื่อน  สร้างทักษะสังคม  การสื่อสาร  การให้การรับ 

5.       มีกิจกรรมเบนความสนใจ  อย่าให้เด็กแยกตัวอยู่คนเดียว

6.       ฝึกการเล่นกีฬา  กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์

7.       ฝึกทักษะการผ่อนคลายตนเอง    ดนตรี  ศิลปะ  ฝึกลมหายใจ  โยคะ  สติ สมาธิ

 

กล้ามเนื้อกระตุก  (Tics  disorder)

สาเหตุ  โรคที่เกิดขึ้นเอง  มีสาเหตุจากภายใน  ความเครียดเป็นตัวเสริม

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1.       ไม่สนใจอาการ  ไม่ทักถาม  บอกเด็กว่า  ครูรู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจทำ  ยิ่งไปสนใจมันมาก  อาการจะไม่หาย  ให้ทำเป็นไม่สนใจ  แล้วอาการจะหายไปเอง

2.       หาสาเหตุและแก้ไขสาเหตุที่โรงเรียน  เช่น ความเครียดเรื่องการเรียน  เรื่องเพื่อน  เรื่องงาน และการบ้าน

3.       ไม่ให้เด็กมีการล้อเลียนกัน  แนะนำเด็กอื่นๆว่า  เราจะช่วยกันโดยไม่สนใจอาการนี้  แล้วอาการจะหายไปเอง

4.       เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออก  เป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ

5.       ส่งเสริมให้เด็กเล่นกีฬา 

6.       ฝึกทักษะการผ่อนคลายตนเอง    ดนตรี  ศิลปะ  ฝึกลมหายใจ  โยคะ  สติ สมาธิ  

เก็บตัว ไม่มีเพื่อน

สาเหตุ  ไม่มีความมั่นใจตนเอง  ขี้กังวล   โรคออติสติก

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1.       จัดกลุ่มเพื่อนให้ทำงานร่วมกัน

2.       หาคู่หู  จัดกิจกรรมที่ทำงานคู่  แนะนำเพื่อนที่เป็นคู่หู  ให้ชวนเพื่อนพูดคุย

3.       หาโอกาสให้เด็กแสดงออก  เล่นกีฬา

4.       ฝึกทักษะการสื่อสาร  การแสดงออก

5.       ฝึกให้เด็กทำงานกลุ่ม

6.       ฝึกการผ่อนคลายตนเอง  การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ 

7.       ฝึกสติ/สมาธิ

 

คุยกันในห้องเรียน

สาเหตุ  ขาดการยั้งใจตนเอง  สมาธิสั้น  ขาดระเบียบวินัย  เบื่อเรียน  เรียนไม่รู้เรื่อง คุยกันเรื่องเรียน

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1.       ชี้แจงกติกาให้ชัดเจน  เวลาครูสอน  หรือ ครูพูด ทุกคนต้องหยุดพูด และฟัง  เวลาครูให้คนใดคนหนึ่งพูด  คนอื่นๆก็ต้องหยุดฟังเช่นกัน  เราจะพูดทีละคนเท่านั้น  มิฉะนั้นจะไม่สามารถฟังกันรู้เรื่อง

2.       จับคนที่คุยกันแยกจากกัน  หรือคนที่ชวนคุยแยกออกมานั่งที่ “เก้าอี้พิเศษ”  ชั่วคราว 5-10 นาที  แล้วให้กลับไปนั่งที่เดิม  (วิธี “ขอเวลานอก”)

3.       ครูเดินไปใกล้ๆ  ส่งสัญญาณเตือน  สะกิด  ให้เพื่อนช่วยสะกิดเตือน

4.       เก็บของเล่น  หรือสิ่งที่ดึงความสนใจเด็ก  ออกไป

5.       ครูเดินไปตรงที่เด็กคุยกัน  แล้วถามคำถามง่ายๆ  ในบทเรียนที่กำลังสอนอยู่

6.       ให้เด็กคนที่คุยกัน  ได้ทำกิจกรรมบางอย่าง  เช่น  อ่านหนังสือดังๆ  ให้เพื่อนทั้งชั้นฟัง

7.       จัดห้องเรียนใหม่  ให้เด็กสลับเปลี่ยนที่นั่งกันชั่วคราว

8.       ขอให้เพื่อนช่วยเตือนกันเอง  คนที่นั่งใกล้ๆช่วยสะกิดเตือนคนที่คุยกัน หรือช่วยส่งสัญญานเตือนกันเอง

9.       ขอเวลานอก (timeout) สำหรับคนที่ไม่หยุดคุย

10.    จัดกิจกรรมที่สนุกสลับบทเรียน  เพื่อให้เด็กเกิดความสนุก  และเตรียมความพร้อมเข้าสู่บทเรียน  อาจเป็นเกม  ร้องเพลง  การแสดง  ให้เด็กมีส่วนร่วมและแสดงออก

11.    ฝึกสมาธิสลับ  ก่อน  ระหว่าง  หรือหลังการสอน

12.    ใช้สัญญาณเตือน  เช่น  เมื่อครูยกแขนขึ้น  เป็นสัญญาณให้ทุกคนหุบปาก

13.    ชมเวลาเด็กไม่คุยกัน  หรือเวลาเด็กส่งสัญญาณเตือนกันเอง

14.    บันทึกพฤติกรรม  เรียบร้อย  คุยกัน  เตือนเพื่อนๆ  และมีโอกาสที่ครูจะแจ้งกับเด็ก  

พูดคำหยาบ

สาเหตุ  การเลี้ยงดู  เลียนแบบเพื่อน  ขาดการยับยั้งใจตนเอง  สมาธิสั้น  เด็กเกเร

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1.       ชี้แจงกติกาในห้องเรียนให้ชัดเจนว่า  ห้ามพูดคำหยาบในห้องเรียน  หรือในโรงเรียน  ถ้าทำจะมีโทษอย่างไร

2.       กำหนดกติกาให้ชัดเจนว่า  ถ้าใครเผลอพูดคำหยาบ  อาจโดนลงโทษ 

3.       เมื่อมีเด็กพูดคำหยาบ  ให้เพื่อนช่วยกันเตือนกันเองก่อน  ถ้าไม่เชื่อฟังให้แจ้งครู  ควรอธิบายเด็กๆด้วยว่า  การเตือนเพื่อนเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องช่วยกัน  เพื่อให้ทุกคนเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ  และการแจ้งพฤติกรรมเพื่อนให้ครูทราบ  ไม่ใช่เป็นการฟ้องครู  แต่เป็นการให้ครูมีส่วนรับทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง

4.       ขอเวลานอก (timeout)

5.       ฝึกคำพูดทดแทน “คำหยาบ”  ให้พูดดังๆ  ฝึกพูดคนเดียว  พูดต่อหน้าเพื่อน 

6.       ลงโทษ  ด้วยวิธีการต่างๆ  ตามความรุนแรงของความผิด  ตัดรางวัล ตัดสิทธิ์ที่ควรจะได้  เช่น  ให้ออกไปเล่นช้ากว่าเพื่อน  5  นาที  กักบริเวณชั่วคราว  5-10  นาที   ออกกำลัง(เช่น  วิ่งรอบสนาม 1 รอบ  )   บำเพ็ญประโยชน์ (  เช่น  เก็บขยะ  กวาดพื้น  ล้างห้องน้ำ ฯลฯ)

7.       เขียนรายงาน “ผลเสียของการพูดคำหยาบ”

8.       บันทึกพฤติกรรม  พูดคำหยาบ  ในห้อง

 

หลักการลงโทษ

1         ไม่เสียความสัมพันธ์ระหว่างกัน

2         หาข้อมูลให้ครบถ้วน  อย่าลงโทษผิดคน  ฟังเด็ก “แจ้งข้อหาให้ชัดเจน”

3         ลงโทษให้ถูกคน  อย่าลงโทษกลุ่มจากความผิดของคนๆเดียว 

4         ไม่อาย  เสียหน้า  เสียเกียรติหรือศักดิ์ศรีของมนุษย์ไม่ควรไล่ให้ไปพ้นๆ  ไปขายเต้าฮวย ฯลฯ

5         ไม่น่ากลัวเกินไป  ไม่ควรขู่  หรือขู่แล้วไม่ทำตามที่ขู่ 

6         ไม่รบกวนการเรียนรู้ปกติ  ไม่ควรไล่ออกจากห้อง 

7         ไม่เสียความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง  เช่น  การด่าว่า เป็นสัตว์  ใช้คำพูดหยาบคาย

8         มีการตกลงกันไว้ก่อน  ว่าถ้ามีการทำความผิด  จะเกิดอะไรขึ้น

9         ทำด้วยความสงบ  ไม่ใช้อารมณ์

10     ไม่รุนแรงจนบาดเจ็บ  หรือมีความเสี่ยงต่ออันตราย

11     เปิดโอกาสให้เด็กคิด  ทบทวนตนเอง

12     จบแล้วจบกัน ไม่คิดแค้น  ไม่มีอคติต่อไป

13     มองเด็กในแง่ดี  คาดหวังดีต่อไป  เปิดโอกาสให้แก้ตัวใหม่เสมอ

พฤติกรรมก้าวร้าวเกเร

สาเหตุ  พ่อแม่ก้าวร้าว  โรคสมาธิสั้น  เครียดหรือซึมเศร้า

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1.       กำหนดกติกาให้ชัดเจน

2.       เอาจริงกับกฎเกณฑ์  ไม่ปล่อยให้มีการละเมิดกัน 

3.       ใช้เทคนิค “ขอเวลานอก” เมื่อเด็กละเมิดคนอื่น

4.       “แจ้งข้อหา”  อย่างรวบรัด 

5.       ฟังเหตุการณ์รอบด้านอย่างสงบ  เปิดโอกาสให้พูดพอควร  แต่อย่าให้เป็นการแก้ตัวเกินไป 

6.       ตัดสินด้วยความสงบ  ตามข้อตกลงของการจัดการเมื่อมีการละเมิดกัน

7.       ใช้การลงโทษ  ที่ไม่ก้าวร้าวรุนแรง  เช่น  การตัดรางวัล  บำเพ็ญประโยชน์  ออกกำลังกาย

8.       ชวนคิดหาวิธีการแก้ไขปัญหาใหม่ๆ  เช่น  เวลาเพื่อนล้อเลียน จะมีทางออกอื่นๆอย่างไรอีก  เช่น  ฟ้องครู  บอกเพื่อนตรงๆ  ให้เพื่อนช่วย  ไม่สนใจ  เปลี่ยนความคิดใหม่  เพื่อนล้อเท่ากับเพื่อนสนใจ  อยากเล่นด้วย  ล้อกลับ  ชวนเพื่อนเล่นอย่างอื่น  ทำให้เพื่อนรักเสียเลย  ขู่กลับ   

9.       หากิจกรรมเบนความสนใจ

10.    ใช้กิจกรรมที่ระบายความโกรธ  ความก้าวร้าว  เช่น  เตะฟุตบอล  ชกกระสอบทราย  เครื่องปั้นดินเผา  แกะสลัก    แต่กิจกรรมนั้นต้องมีกติกาควบคุม

11.    ให้ทำงานที่เป็นประโยชน์  ให้เป็นที่ยอมรับของเพื่อน  และครู

 

โกหก

สาเหตุ  เอาตัวรอด  ไม่กล้าบอกความจริง  กลัวถูกดุ/ถูกทำโทษ  ปิดบังความจริง  ต้องการเป็นจุดเด่น

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1.       ท่าทีเป็นมิตร  เป็นกลาง  ยอมรับเมื่อเด็กทำผิด  แต่อยากเข้าใจ

2.       ไม่เปิดโอกาสให้เด็กโกหก  ไม่ควรถามว่า  “เธอทำหรือเปล่า” 

3.       ฝึกให้เด็กกล้าพูด  กล้าบอก  กล้าปรึกษา  เวลามีปัญหาอุปสรรค  ต้องการอะไร  สามารถบอกความต้องการ  ความไม่สบายใจออกมาได้  รับฟังเวลาเด็กบอก  ควรทำความเข้าใจ  ไม่ควรสอนหรือดุเด็กทันที  ชักชวนให้เด็กคิดทางออกด้วยตัวเอง ก่อนจะชี้แนะ

4.       งดการลงโทษ  ดุด่าว่ากล่าวรุนแรง  หรือให้เด็กได้อาย  เช่น  ทำต่อหน้าเพื่อนๆ  หรือต่อเด็กอื่นๆคนอื่นๆ  ไม่ควรประจานเด็ก

5.       เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น  อย่าโวยวาย  ตีโพยตีพาย  ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่มากเกินไป  จนเด็กกลัวมาก  เวลามีปัญหาจะไม่กล้าบอก

6.       ชมเชยเมื่อเด็กเปิดเผยความจริง  แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เด็กทำผิด  อย่าเพิ่งโกรธหรือรีบสั่งสอนเขาทันที    ควรสอบถามลงลึกต่อไปว่า  อะไรทำให้เขาทำเช่นนั้น  ถ้าทำใหม่ได้จะทำอย่างไร

 

เอาของเล่นผิดกฎมาโรงเรียน

สาเหตุ  ขาดความมีระเบียบวินัย  ดื้อ  ไม่เชื่อฟัง  ทดสอบครู  พ่อแม่ไม่ใส่ใจ

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1.       ชี้แจงกฎกติกาให้นักเรียนเข้าใจ   มีเหตุผลว่าเหตุใดจึงต้องห้าม แจ้งให้ชัดเจนว่า  ถ้าเอามาโรงเรียน  ครูจะยึดไว้และคืนให้กับผู้ปกครอง  อาจมีการลงโทษด้วย

2.       ครูสอดส่องดูแลให้เป็นไปตามกฎ

3.       ให้เพื่อนช่วยเตือนกันเอง  เมื่อเห็นคนทำผิดกฎ ถ้าเตือนแล้วยังทำอีก ให้แจ้งครูทันที

4.       ครูทำตามกฎที่แจ้งอย่างจริงจัง  ยึดของเล่นชั่วคราว  คืนให้ตามเวลาที่ตกลงกัน  เช่นตอนเย็น  หรือ ถ้าทำผิดซ้ำจะยึดไว้จนถึงวันศุกร์  ถ้ายังทำผิดอยู่จะต้องคุยกับผู้ปกครอง  และอาจจะยึดของเล่นนั้นไว้เลย 

5.       ชมเด็กที่ทำตามกฎ  และเด็กอื่นที่ไม่ทำผิดและช่วยเตือนเพื่อนๆ

 

ขโมย

สาเหตุ  ขาดแคลน  ขาดการยับยั้งใจตนเอง  แก้แค้น  ต้องการตื่นเต้น  ตามเพื่อน  พิสูจน์ตนเอง

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1.  ไม่เปิดโอกาสให้มีการขโมย   ให้นักเรียนเก็บของมีค่าให้เป็นส่วนตัว  ไม่ควรนำเงิน  หรือของมีค่ามาโรงเรียน

2.       เมื่อเกิดเหตุการณ์ขโมยในห้องเรียน  ให้ทุกคนช่วยกันคิดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร  จะป้องกันมิให้เกิดขึ้นอีกได้ด้วยวิธีใด

3.       ไม่เปิดโอกาสให้เด็กที่ขโมยโกหก  ใช้คำถามว่า  “ เธอต้องการเอาเงินไปทำอะไร”    แทนคำถามว่า “เธอเอาเงินเพื่อนไปหรือเปล่า”

4.       ไม่ควรสร้างเงื่อนไขต่อรอง  เช่น  ถ้าบอกความจริงจะยกโทษให้  หรือขู่ว่า  ถ้าไม่บอกความจริงแล้วครูจับได้เอง  จะลงโทษหนัก

5.       ชมที่เด็กยอมรับสารภาพ  สอบถามถึงเหตุจูงใจ  การคิด  การวางแผน

6.       ให้เอาของหรือเงินที่ขโมยไปมาคืน  และขอโทษเด็กคนที่ที่ถูกขโมยด้วย

7.       ชวนให้คิดว่าถ้าต้องการอะไร  จะมีวิธีบอกอย่างไรดี  กระตุ้นให้มีการปรึกษาหารือวางแผน  ก่อนจะทำจริงๆ

8.       ชวนให้หาวิธีหาเงินที่ถูกต้อง  เช่นการทำงาน  หรือการเก็บเงินจากค่าขนม   เพื่อเอามาใช้ในสิ่งที่พ่อแม่ไม่ได้ให้จริงๆ

9.       มีการลงโทษ  ด้วยการบำเพ็ญประโยชน์  ชดใช้ความผิด  ชดใช้ค่าเสียหาย  พอสมควร

10.    ให้นักเรียนในห้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา  สอดส่อง รายงานครูเมื่อเห็นสิ่งผิดปกติ  เช่น  มีพฤติกรรมพิรุธของนักเรียนบางคน  มีใครที่มีเงินใช้มากๆผิดสังเกต  เป็นต้น

 

ซนอยู่ไม่นิ่ง

สาเหตุ  เด็กสมาธิสั้น   ขาดการฝึกระเบียบวินัยจากบ้าน  เครียด  ซึมเศร้า  ขาดการยับยั้งใจตนเอง  ถูกตามใจจนเคยตัว  ขาดกติกาที่ชัดเจน  ครูใจดีเกินไปไม่เอาจริง

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1.       ให้นั่งหน้าห้อง  ครูสามารถเดินไปถึงตัวได้ง่าย 

2.       ให้เพื่อนที่เรียบร้อยนั่งใกล้ๆ  ให้เพื่อนที่ซนๆเหมือนกันนั่งไกลๆ

3.       หากิจกรรมให้ทำอย่างต่อเนื่อง  อย่าให้อยู่เฉยๆ  หรือมีเวลาว่างมาก

4.       วางแผนร่วมกัน  เพื่อกำหนดกิจกรรมให้ต่อเนื่อง 

5.       มอบหมายงานส่วนรวมให้ทำ  ให้เป็นประโยชน์  และเป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ

6.       ให้ช่วยครูทำงาน  เช่นเอาหนังสือไปเก็บ  ให้ไปของๆครูมาให้

7.       แบ่งงานให้เป็นช่วงๆ  ทำเสร็จแล้ว ชมเชย

8.       ฝึกการควบคุมตนเอง

9.       ฝึกสติ/สมาธิ  เท่าที่จะทำได้

10.    ให้มีกีฬาที่เล่นเป็นกลุ่ม  และฝึกให้ควบคุมตนเอง

 

สมาธิสั้น

สาเหตุ  โรคสมาธิสั้น  เครียด  ซึมเศร้า  ปัญหาการเรียนรู้

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1.       แบ่งงานให้เป็นชิ้นย่อยๆ

2.       กำกับให้ทำงานอย่างต่อเนื่อง  ไม่เปิดโอกาสให้เด็กหลบเลี่ยง  แอบเล่น

3.       ชมเชยเมื่อเด็กทำได้อย่างที่ตั้งใจไว้

4.       ให้เด็กทำตามกฎเกณฑ์ของห้อง 

5.       มีกิจกรรมที่เด็กสนใจ  และสามารถได้ต่อเนื่องยาวนาน  เช่น  ศิลปะ  ดนตรี  (ยกเว้นเกมกด  เกมเพล  เกมคอมพิวเตอร์  จะไม่ได้ประโยชน์)

6.       มีกิจกรรมที่เคลื่อนไหวสลับ  แต่มีกติกา  ให้หัดควบคุมตนเอง

7.       ฝึกสติ/สมาธิ  เท่าที่จะทำได้

8.       ขอเวลานอก (timeout) เมื่อขาดการควบคุมตนเอง

9.       ฝึกการช่วยตัวเอง  รับผิดชอบเอง  ทำอะไรด้วยตัวเองตามวัย 

10.    ฝึกการวางแผนล่วงหน้า  และพยายามทำให้สำเร็จได้ตามแผน

11.    จัดสิ่งแวดล้อมให้เรียบง่าย  ไม่มีสิ่งกระตุ้นเยอะ  ให้เด็กสมาธิสั้นอยู่ใกล้ๆครู  ให้เพื่อนดีๆนั่งล้อมไว้ ฝาผนังไม่ควรมีโปสเตอร์ 

12.    ตรวจสอบงาน  การจดการบ้านให้ครบถ้วน 

ล้อเลียนเพื่อน/แกล้งเพื่อน

สาเหตุ  การเรียนรู้จากทางบ้าน  จากกลุ่มเพื่อน  ขาดความสุข  มีปมด้อยของตนเอง  ขาดทักษะในการเข้าสังคม 

การแก้ไขที่โรงเรียน

1.       หยุดพฤติกรรมการแกล้งเพื่อน  ล้อเลียนเพื่อน  ทันที

2.       อธิบายให้เด็กทั้งห้องรู้ว่า  กฎเกณฑ์ของการอยู่ร่วมกันข้อแรก  คือ  ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน  ข้อสอง  คือทำให้คนอื่นพอใจ  ครูจะไม่ยอมให้มีการแกล้ง  หรือล้อเลียนกัน

3.       ฝึกทักษะสังคมด้านบวก  รู้จักการให้  การขอบคุณ  การชักชวนกันเล่นกันดีๆ  การเริ่มต้นการเล่น  การมีเพื่อน  การขอให้เพื่อนช่วยเหลือปกป้องกัน

4.       ฝึกทักษะเด็กในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า  การป้องกันตนเองไม่ให้ถูกล้อเลียน  หรือถูกรังแก

5.       ฝึกให้เพื่อนช่วยกันปกป้องคนที่ถูกรังแก  เตือนเพื่อนที่ชอบแกล้งหรือล้อคนอื่น  ชวนเพื่อนให้เล่นกันดีๆ  ช่วยรายงานครูเมื่อมีการละเมิดกัน  ไม่ยอมให้มีพฤติกรรมนี้เกิดขึ้นในห้อง  ด้วยการช่วยกัน  ไม่นิ่งดูดาย   ให้เพื่อนรู้จักการช่วยเหลือกันเสมอ

6.       ขอเวลานอก (timeout) เมื่อไม่สามารถควบคุมตนเองได้

7.       แนะนำการเล่นกันดีๆ  กิจกรรมที่ทำด้วยกัน  แล้วพอใจด้วยกันทุกฝ่าย

8.       รีบแยกเด็กที่เริ่มทำท่าจะละเมิดคนอื่น  ไม่ควรรอให้เกิดเหตุการณ์ขึ้น

9.       ชมเด็กเมื่อเด็กเล่นกันดีๆ

10.    หลีกเลี่ยงการล้อเลียนเด็ก  การแซวเด็ก

 

กระตุ้นตัวเองทางกาย และทางเพศ  (กัดเล็บ  ดูดนิ้ว  ถอนผม  กระตุ้นอวัยวะทางเพศ)

สาเหตุ  เหงา  เครียด  ซึมเศร้า ขาดความสุข  มีปมด้อยของตนเอง  ขาดทักษะในการเข้าสังคม 

การแก้ไขที่โรงเรียน

1.       เปลี่ยนอิริยาบถ  ท่านั่ง  ท่านอน  ให้เด็กหยุดพฤติกรรมทันที

2.       เมื่อพบเป็นครั้งแรก  ให้อธิบายสั้นๆว่า  เราไม่ทำอย่างนั้น  เพราะอะไร 

3.       ชักจูงให้เด็กเกิดความรู้สึกอยากเลิกพฤติกรรมแบบนั้น

4.       เบนความสนใจไปทำอย่างอื่น  หากิจกรรมอื่น  เปลี่ยนสถานที่

5.       ฝึกทักษะสังคม  ให้มีเพื่อนเล่น  ไม่อยู่คนเดียว  ไม่เหงา

6.       เมื่อพบว่าเด็กยังทำซ้ำ  ให้หยุดพฤติกรรมนั้นด้วยการกระทำ  ไม่ต้องพูดมาก  ไม่ต้องสอนมาก

7.       ฝึกสติ  ให้เด็กรู้ตัวอยู่เสมอ  เตือนตัวเองได้เมื่อเริ่มทำ

8.       หากิจกรรมที่ฝึกการใช้มือ  ทำในเวลาว่าง  อย่าปล่อยให้มีเวลาว่างมากๆ

9.       ไม่ควรจ้องจับตาดูเด็กตลอดเวลา 

10.    ไม่ควรดุ  หรือทำให้กลัวมากเกินไป

11.    อย่าให้เด็กล้อเลียนกัน  ใครทำผิดข้อนี้จะมีการขอเวลานอก  หรือลงโทษ

 

ปัญหาในนักเรียนมัธยมศึกษา

 ปัญหาการเรียน

สาเหตุ  สติปัญญาต่ำ  ขาดแรงจูงใจ  เรียนไม่รู้เรื่อง  ติดเกม  ติดเพื่อน

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1         จัดระเบียบการทำงาน  การเรียน  ให้เป็นเวลา

2         ทบทวนความสามารถทางการเรียนของเด็ก  จุดอ่อน  ระดับความสามารถที่แท้จริง

3         สอนเสริม  ทวนบทเรียนแบบฝึกหัดตามความสามารถที่แท้จริง

4         ฝึกซ้ำๆ  บ่อยๆ ครั้งละช่วงสั้นๆ

5         ให้กำลังใจ  ชมเชยในสิ่งที่ทำได้  ไม่เปรียบเทียบกับเด็กอื่น

 

แต่งกายผิดระเบียบ

สาเหตุ  ธรรมชาติของวัยรุ่น  ท้าทายครู  อยากเด่นอยากดัง  อยากให้คนอื่นสนใจ  อยากให้เพื่อนทึ่ง และยอมรับว่าใจถึง  ไม่กลัวเกรงครู  อยากให้ตัวเองดูดี

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1.       สร้างความสัมพันธ์ที่ดี

2.       พยายามเข้าใจ  จิตใจและความต้องการของวัยรุ่น

3.       ซักถามถึงแรงจูงใจที่ทำผิด  รับฟังด้วยใจเป็นกลาง  สอบถามรายละเอียด  เช่น  ไปซอยผมที่ไหน  แพงไหม  ใครแนะนำ  คิดนานไหมก่อนจะไปทำ  เอาเงินที่ไหนไปทำ  ปรึกษาใครบ้าง  คิดว่าจะเกิดปัญหาใดบ้างไหม  ถ้าเกิดปัญหาจะทำอย่างไร

4.       สอบถามเรื่องกฎระเบียบ  รู้หรือไม่ว่าผิดกฎ   รู้ผลที่จะตามมาหรือไม่   ถ้าถูกลงโทษจะทำอย่างไร

5.       ถ้าเปลี่ยนแปลงได้  อยากจะทำอย่างเดิมหรือไม่

6.       ตอนนี้คิดจะทำอย่างไรต่อไป

7.       ชมการคิดการวางแผนที่ดี

8.       ชวนคิดในความคิดที่ไม่เหมาะสม  หรือจะเป็นปัญหาตามมา

9.       ชักจูงให้ทำในทางที่ถูก  ผลดีที่จะเกิดตามมา

10.    สอบถามความต้องการ  อยากให้ครูช่วยอย่างไร  เช่น  แนะนำร้านตัดผมที่ดี

11.    ช่วยคิดในทางเลือกที่ต้องการ  แต่อาจทำให้ถูกต้อง  เช่น  การซอยผมอาจจะทำได้ในช่วงปิดเทอม   ถ้าเจาะหู  คงสวมต่างหูได้เฉพาะนอกโรงเรียน  เป็นต้น 

12.    ชมพฤติกรรมด้านดี  หรือความพยายามที่จะดีขึ้น

 

สมาธิสั้น

สาเหตุ  โรคสมาธิสั้น  เครียด  ซึมเศร้า  สติปัญญาต่ำ 

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1         สร้างแรงจูงใจในการเรียน

2         ให้เด็กมีส่วนร่วมในการเรียนรู้

3         แบ่งเวลาการเรียนรู้ให้เป็นช่วงสั้นๆ  ทำให้เสร็จเป็นช่วงๆ

4         ทบทวนการเรียนรู้ซ้ำๆ

 

เบี่ยงเบนทางเพศ

สาเหตุ  กรรมพันธุ์  การเลี้ยงดู 

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1         จัดกลุ่มให้คละเพศ

2         จัดกิจกรรมให้สนิทสนมกับเพศเดียวกันเอง  ไม่เป็นที่รังเกียจของเพศเดียวกัน

3         หลีกเลี่ยงการให้แสดงออกผิดเพศ

4         ให้สนิทสนมคุ้นเคยเป็นกันเองกับครู  รุ่นพี่เพศเดียวกันเอง  เพื่อให้มีการเลียนแบบพฤติกรรมทางเพศที่เหมาะสมกับตนเอง

5         ส่งเสริมให้มีการออกกำลังกาย  เล่นกีฬา  โดยเฉพาะกับเพศเดียวกัน

6         ป้องกันการจับกลุ่มผิดเพศ  เพราะจะเกิดการเลียนแบบพฤติกรรมที่ผิดเพศมากขึ้น  ควรสลายกลุ่มที่ผิดเพศที่แสดงออกอย่างเปิดเผย

7         ยอมรับในการเป็นรักร่วมเพศ  ไม่ควรแสดงทัศนคติต่อต้านเรื่องนี้

8         ไม่ควรพยายามจูงใจให้เปลี่ยนกลับเป็นเหมือนเด็กอื่นๆ  ยกเว้นเขาต้องการจะเปลี่ยนจริงๆ(พบน้อยมาก)

9         ชักจูงให้ระมัดระวังควบคุมตัวเองในการแสดงออก  กิริยาท่าทาง

10     ส่งเสริมให้มีกิจกรรมแสดงออกที่เหมาะสม  และเป็นจุดเด่น  เป็นที่ยอมรับของเพื่อน

 

เพื่อนต่างเพศ/เพศสัมพันธ์

สาเหตุ  ปกติ  ฮอร์โมนเพศ  มีการกระตุ้นเรื่องเพศในเด็ก  ขาดความอบอุ่นในครอบครัว  ต้องการความรักและคนเข้าใจ  เอาใจ

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1         ส่งเสริมให้เปิดเผยและปรึกษา  เรื่องความสนใจทางเพศ

2         ครูมีทัศนคติที่เป็นกลางต่อเรื่องเพศ  ยอมรับได้ว่าเด็กมีความสนใจเรื่องเพศได้ 

3         ให้ความรู้เรื่องเพศอย่างถูกต้อง  และเหมาะสมกับกลุ่ม  วัย  เพศ

4         ให้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ  เช่น  ผู้ชายเมื่อมีเพศสัมพันธ์ด้วยแล้วจะเบื่อง่าย  ไม่เห็นคุณค่าของผู้หญิง  การมีเพศสัมพันธ์จะเกิดอะไรตามมา  โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เกิดขึ้นได้อย่างไร

5         การมีเพื่อนต่างเพศที่ถูกต้อง  เปิดเผย  ไม่เสียหน้าที่

6         การเลือกแฟน  และคบกันแบบแฟนที่ปลอดภัย  การเรียนรู้นิสัยใจคอกัน

7         การเลือกคู่ครอง  การวางแผนครอบครัว  การเตรียมตัวสำหรับชีวิตคู่  การปรับตัวเข้าหากัน

8         การจัดการกับอารมณ์เพศของตนเอง

9         ทักษะในการปฏิเสธ

 

ยาเสพติด

สาเหตุ  ขาดการยับยั้งใจตนเอง  ตามเพื่อน  มีปัญหาทางจิตใจอารมณ์  ปัญหาครอบครัว  การเลี้ยงดู

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1.       ชักจูงใจให้เปิดเผยการใช้ยาเสพติด

2.       สำรวจการใช้  เหตุจูงใจ  พฤติกรรมการใช้  แรงจูงใจที่จะหยุดใช้

3.       ชักจูงใจให้อยากเลิก  ข้อเสียของการใช้  ข้อดีของการหยุด

4.       อธิบายผลตามมาของการใช้

5.       อธิบายวิธีการเลิก  ถ้าต้องการ

6.       แนะนำสถานที่บำบัดรักษา  แพทย์ผู้รักษา

7.       ให้กำลังใจ  มองในแง่ดีว่าถ้าตั้งใจจะเลิกได้แน่นอน 

 

ไม่ยอมไปโรงเรียน

สาเหตุ  โรคซึมเศร้า  เครียด  โรควิตกกังวล  ปัญหาบุคลิกภาพแบบหลบเลี่ยงปัญหา  ขาดทักษะสังคม  ปัญญาอ่อน ปัญหาการเรียนเฉพาะด้าน  ติดยาเสพติด

วิธีการแก้ไขที่โรงเรียน

1.       สร้างความสัมพันธ์ที่ดี

2.       ให้เด็กอยู่ที่ใดที่เหมาะสมในโรงเรียน  เช่น  ห้องครู  ห้องแนะแนว  ห้องพยาบาล  ห้องสมุด  อยู่ในสายตาครูคนใดคนหนึ่ง  ให้ช่วยงานครู  บำเพ็ญประโยชน์

3.       ชักชวนเด็กเข้าเรียนบางวิชาที่ทำได้ง่ายก่อน

4.       ประสานงานกับครูท่านอื่นๆ  ให้เกิดความเข้าใจ

5.       พยายามอย่าให้เด็กอยู่นอกโรงเรียน  การรักษาทำได้ดีกว่าเมื่อเด็กเรียนอยู่ในโรงเรียน

6.       อย่าเพิ่งเข้มงวดกับการบ้าน  งานส่ง  การเรียนให้ทันเพื่อน  ขอให้มาโรงเรียนได้ทุกวัน

7.       อธิบายให้เด็กอื่นเข้าใจ  ไม่ให้เกิดความรู้สึกว่าได้สิทธิพิเศษ

8.       ให้เพื่อนช่วยเพื่อน  ชักจูงเข้าร่วมกิจกรรม  พูดคุย  เป็นกันเอง  รับเข้ากลุ่ม  ชวนไปไหนมาไหนด้วย  ให้งานกลุ่มที่ทำด้วยกันง่ายๆเป็นกลุ่มเล็กๆ

9.       ครูมีเวลาพูดคุยแบบเป็นกันเอง เป็นครั้งคราว  พยายามเข้าใจปัญหาเด็ก  มองเด็กในแง่ดี  มองโลกในแง่ดี  มีความหวังอยู่เสมอ 

10.    ครูอารมณ์ดีอยู่เสมอ  ชวนให้เด็กมีกิจกรรมเบนความกังวล  เช่น  ศิลปะ  ดนตรี  กีฬา  กิจกรรมกลุ่ม  บำเพ็ญประโยชน์

11.    ไม่ควรตำหนิเด็กให้รู้สึกว่าทำผิด  เด็กมักรู้ตัวอยู่แล้วว่าการไม่เรียนเป็นเรื่องผิด  แต่ควรพยายามให้เด็กเข้าใจตนเองว่า  เหตุใดจึงเข้าเรียนไม่ได้

12.    ชวนให้เด็กคิดว่า  ถ้าเรียนไม่ได้จริงๆ  จะทำอะไรต่อไป  เช่น  การทำงาน  การเรียนนอกระบบ  การศึกษานอกโรงเรียน 

 

สาเหตุของปัญหาพฤติกรรมเด็กและวัยรุ่น

·       ร่างกาย  การเปลี่ยนแปลงของสารเคมี  สารสื่อนำประสาท  โรคทางกาย โรคระบบประสาท   สารพิษ 

·       จิตใจ  บุคลิกภาพ  ความคิด  การมองโลก  การปรับตัว 

·       สังคม  การเลี้ยงดู  ปัญหาของพ่อแม่  ตัวอย่างของสังคม  สื่อต่างๆ

 

แนวทางการแก้ไข/ช่วยเหลือ

1.       สร้างความสัมพันธ์ที่ดี

2.       รับฟังปัญหาเด็กเสมอ  ไม่ตำหนิ  หรือสั่งสอนเร็วเกินไป  ท่าทีเป็นกลาง

3.       เข้าใจปัญหา  หาข้อมูลเพื่อให้รู้สาเหตุ  และแนวทางการแก้ไขปัญหา

4.       มองเด็กในแง่ดี  มีความหวังในการแก้ปัญหาเสมอ

5.       กระตุ้นให้คิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง  มีทางเลือกหลายๆทาง  วิเคราะห์ทางเลือกร่วมกัน

6.       ชี้แนะทางแก้ไขปัญหาในกรณีที่เด็กคิดไม่ออกด้วยตัวเอง

7.       เป็นแบบอย่างที่ดี 

8.       ใช้กิจกรรมช่วย  กีฬา  ดนตรี  ศิลปะ  กิจกรรมกลุ่ม

9.       ให้เพื่อนช่วยเพื่อน  อธิบายให้เพื่อนเข้าใจกัน  ยอมรับและอยากช่วยเหลือกัน  ไม่ตัวใครตัวมัน

10.    ชมเชยเมื่อทำได้ดี

11.    เมื่อทำผิด  มีวิธีตักเตือน  ชักจูงให้อยากเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเองให้ดีขึ้น

12.    จัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม 

13.    ให้ครอบครัวมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา  แก้ไขปัญหาครอบครัว

การแก้ไขที่สาเหตุ

·       หาสาเหตุ  ทางร่างกาย  จิตใจ  หรือสังคม(ครอบครัว  เพื่อน  หรือ ครู)

·       ปัจจัยเสี่ยง  พื้นอารมณ์เด็ก  บุคลิกภาพเดิม  นิสัยใจคอเดิม  การเลี้ยงดู

·       ปัจจัยกระตุ้น  ความเครียดในชีวิต  การเปลี่ยนแปลง เช่น  ย้ายโรงเรียน  มีน้องคนใหม่  พ่อแม่หย่าร้างกัน  เพื่อนรังแก  การสอบ

·       ปัจจัยเสริม  ความไม่เข้าใจของสิ่งแวดล้อม  ปัญหาที่คาราคาซังกันอยู่  เช่น  การที่เด็กไม่ไปโรงเรียน  ทำให้พ่อแม่โกรธ  ลงโทษรุนแรงทำให้เด็กกลัว  และไม่ยอมไปโรงเรียนมากขึ้น

 

การเปลี่ยนพฤติกรรมโดยใช้พฤติกรรมบำบัด

·       จัดสิ่งแวดล้อม ( environmental  manipulation)

·       ใช้สิ่งกระตุ้น ( cueing) 

·       เงื่อนไข (conditioning)

·       รางวัล (operant conditioning  or  positive  reinforcement)

·       เบี้ยอัตถกร  (Token)

·       แก้ไขด้วยการทำซ้ำ (overcorrection)

·       ดัดพฤติกรรม  (shaping)

·       แบบอย่าง  (modeling)

·   ใช้น้ำดีไล่น้ำเน่า (substitution)

·       ลงโทษ (punishment)

·       ถอนพฤติกรรม (negative reinforcement)  ลดการลงโทษ/ดุ/ด่า  ที่ไม่ได้ผล

 

การเปลี่ยนพฤติกรรมโดยใช้การให้คำปรึกษา (Counseling)

                การให้คำปรึกษา  คือการช่วยเหลือให้คิดและตัดสินใจแก้ไขปัญหาของตนเองได้  ด้วยการใช้เทคนิคต่าง  ของการสร้างความสัมพันธ์  การสื่อสาร  ความเข้าใจและมีความรู้สึกอยากช่วยเหลือ ขั้นตอนของการให้คำปรึกษา  ประกอบด้วย

·       สร้างความสัมพันธ์ที่ดี

·       สำรวจปัญหาร่วมกัน  และเลือกเรื่องที่จะทำงานร่วมกัน

·       ประคับประคองจิตใจให้อารมณ์สงบ

·       การแก้ปัญหา  กระตุ้นให้มองหาทางเลือก  ข้อดีข้อเสีย ชี้แนะ ช่องทาง ข้อมูล ประกอบการตัดสินใจ

·       ให้ตัดสินใจด้วยตนเอง

·       การทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง  และติดตามผล

·       การยุติการช่วยเหลือ 

 

การเปลี่ยนพฤติกรรมโดยใช้ครอบครัวบำบัด

·       สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว

·       แสวงหาข้อมูลจากครอบครัว

·       วิเคราะห์ครอบครัว  ปัญหาของครอบครัว  จุดอ่อน  จุดแข็ง  หน้าที่ของครอบครัว บทบาท  การสื่อสาร  การเข้าใจความรู้สึก 

·       ชักจูงใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  ในโครงสร้าง  และหน้าที่ของสมาชิกครอบครัว

·       ชี้แนะช่องทางของการเปลี่ยนแปลง

·       ฝึกทักษะที่เป็นปัญหา

·       ใช้หลักพฤติกรรมบำบัด ร่วมด้วยเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม

 

 การเปลี่ยนพฤติกรรมโดยใช้เพื่อน

·       สร้างบรรยากาศของการอยู่ร่วมกันแบบกลุ่ม  ไม่โดดเดี่ยว  ไม่เอาตัวรอดคนเดียว  เพื่อนมีหน้าที่ช่วยเหลือกัน

·       สร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  เป็นห่วงเป็นใยกัน  เมื่อมีใครหายไปเพื่อนควรสนใจ  เป็นห่วงเป็นใย  ติดตามข่าวสาร  พยายามดึงเพื่อนเข้ากลุ่ม  มีการแบ่งปันกัน  ช่วยเหลือกัน

·       เมื่อมีเพื่อนทำผิด  เพื่อนที่ดีควรช่วยเตือน และชักจูงให้เปลี่ยนแปลง  เลิกทำผิด  กลับมาทำดี โดยไม่โกรธกัน  มองกันในทางที่ดี

·       ฝึกทักษะการสื่อสารที่ดี  บอกความคิด  ความต้องการ  ความรู้สึก  เมื่อไม่พอใจมีวิธีบอกให้เพื่อนเข้าใจ  และสนองความต้องการกันได้ตรงจุด 

·       ฝึกทักษะสังคมทางบวก  การให้  การรับ  การขอโทษ  การขอบคุณ  การเข้าคิว  รอคอย  การทำดีต่อกัน  การพูดดีๆ  สุภาพ  อ่อนโยน  ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อกัน   

 

การฝึกการสื่อสารที่ดี

1.       หลีกเลี่ยงการใช้คำถามที่ขึ้นต้นว่า  “ทำไม” 

การใช้คำถามที่ขึ้นต้นว่า  “ทำไม.....”  เช่น  “ทำไมเธอมาโรงเรียนสาย”  จะสื่อสารให้นักเรียนเข้าใจได้ 2  แบบ คือ

·       เธอทำไม่ดีเลย  ทำไมจึงทำเช่นนั้น    และ

·       ถ้ามีเหตุผลดีๆ  การกระทำเช่นนั้นก็อาจเป็นที่ยอมรับได้ 

ผลที่ตามมาคือ เด็กจะพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตนเองมากขึ้น  เพื่อพยายามยืนยันว่า  ความคิดและการกระทำของเขาถูกต้อง  เป็นการสอนให้เด็กเถียงแบบข้างๆคูๆ  แล้วครูก็จะโมโหเด็กเสียเอง  ทั้งๆที่เป็นคนเริ่มต้นให้เด็กหาเหตุผล  แต่เมื่อเด็กแสดงเหตุผล  ก็ไม่ยอมรับเหตุผลของเขา

ถ้าต้องการทราบเหตุผลจริงๆของพฤติกรรมเด็ก  ควรถามดังนี้

“ครูอยากรู้จริงๆว่าอะไรทำให้เธอทำอย่างนั้น”

“พอจะบอกครูได้ไหมว่า  เธอคิดอย่างไรก่อนที่จะทำอย่างนั้น”

“เกิดอะไรขึ้น  ทำให้เธอมาโรงเรียนสายในวันนี้”

“มันเกิดอะไรขึ้น  ไหนลองเล่าให้ครูเข้าใจหน่อย”

 

2.       ตำหนิที่พฤติกรรม  มากกว่า ตัวเด็ก  

ถ้าครูจะตำหนิเด็ก  ต้องระวังการต่อต้านไม่ยอมรับ  วิธีการที่ทำให้เด็กยอมรับ  และไม่เสียความรู้สึกด้านดีของตนเอง  สามารถทำได้ด้วยการตำหนิที่พฤติกรรมนั้น    ดีกว่าตำหนิที่ตัวเด็ก  ดังตัวอย่างต่อไปนี้

“ การมาโรงเรียนสาย  เป็นสิ่งที่ไม่ดี”     ดีกว่า     “เธอนี่แย่มาก  ขี้เกียจจังเลยถึงมาสาย”

“ การทำเช่นนั้น  ไม่ฉลาดเลย”    ดีกว่า    “เธอนี่โง่มากนะ  ที่ทำเช่นนั้น”

“ครูไม่ชอบที่เธอไม่ได้ช่วยงานกลุ่ม   งานนี้ทุกคนต้องช่วยกัน “   ดีกว่า    “เธอนี่เป็นคนเอาเปรียบเพื่อนนะ”

                ไม่ควรใช้คำพูดทำนองว่า  เป็นนิสัยไม่ดี  หรือสันดานไม่ดี  เพราะจะทำให้เด็กต่อต้าน  หรือแกล้งเป็นอย่างนั้นจริงๆ  หรือลามไปถึงพ่อแม่  เช่น  “อย่างนี้พ่อแม่ไม่เคยสอน  ใช่ไหม” 

 

3.       ฝึกใช้คำพูดที่ขึ้นต้น  “ฉัน......”   มากกว่า  “เธอ.............”  ( I-YOU  Message)   ได้แก่

“ครูไม่ชอบการที่นักเรียนมาสาย”      ดีกว่า  “เธอนี่แย่มากที่มาสาย”

“ครูอยากให้นักเรียนมาเช้า”

“ครูไม่ชอบพูดเวลานักเรียนไม่ตั้งใจฟัง”

“ครูอยากให้นักเรียนหยุดฟัง  เวลาครูพูด”

“ครูเสียใจที่เธอทำเช่นนั้น”

“ครูอยากให้เธอ..................”

“ครูจะดีใจมากที่................”

 

4.       บอกความคิด  ความรู้สึก  ความต้องการ 

ฝึกให้เด็กมีทักษะในการสื่อสาร  ความกล้าพูด  กล้าบอกสิ่งที่ตัวเองคิด  รู้สึก  และต้องการอย่างสุภาพ  เข้าใจกัน  ทั้งต่อครู  และต่อเพื่อนๆด้วยกันเอง  ไม่ควรอาย  หรือกลัวเพื่อนโกรธ  บางคนกลัวเพื่อนไม่ยอมรับ  เลยยอมตามเพื่อน  ถูกเพื่อนเอาเปรียบ 

ครูช่วยกระตุ้นเรื่องนี้ได้  ด้วยการฝึกรายบุคคล 

“เธอคิดอย่างไร  เรื่องนี้............”

“เธอรู้สึกอย่างไร  ลองบอกครู...........”

“เธอต้องการให้เป็นอย่างไร...........”

                ครูควรรับฟังเด็กมากๆ  ให้เขารู้สึกว่า  การพูดบอกเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ  และสามารถบอกกับเพื่อนๆได้ด้วย

 

5.       ชมบนหลังคา  ด่าที่ใต้ถุน

ครูควรมีเทคนิคในการชม  ให้เกิดความภาคภูมิใจตนเอง   ควรชมให้ผู้อื่นทราบด้วย  หรือร่วมชื่นชมด้วย    และเมื่อชมแล้ว  อาจเสริมให้เด็กรู้สึกต่อไปว่า  เขาคงจะพอใจที่ตัวเองเป็นคนดีด้วย   ต่อไปเด็กจะชื่นชมตัวเองเป็น  ไม่ต้องรอให้คนอื่นเห็นความดีของตน  หรือรอให้คนอื่นชมเสมอไป  ดังตัวอย่างนี้

“ครูดีใจมากที่เธอช่วยเหลือเพื่อน  เธอคงรู้สึกภูมิใจในตัวเองที่ทำเช่นนั้น  ใช่ไหม”

“พวกเราภูมิใจที่เธอได้รางวัลครั้งนี้  ช่วยกันตบเมือให้หน่อย  เธอคงภูมิใจในตัวเองเหมือนกันใช่ไหมจ๊ะ”

แต่เวลาเตือน อย่าให้เกิดความอับอาย  ให้ค่อยๆคิด  และยอมรับด้วยตัวเอง  อย่าให้เสียความรู้สึก  ควรเตือนเป็นการส่วนตัว  ก่อนจะเตือน  ควรหาข้อดีของเขาบางอย่าง  ชมตรงจุดนั้นก่อน  แล้วค่อยเตือนตรงพฤติกรรมนั้น เช่น

“ ครูรู้ว่าเธอเป็นคนฉลาด  แต่การที่เธอเอาของเพื่อนไปโดยไม่บอกนี่ไม่ถูกต้อง”

“ครูเห็นแล้วว่าเธอมีความตั้งใจมาก  แต่งานนี้เป็นงานกลุ่มที่ต้องช่วยกันทำทุกคนนะจ๊ะ”

 

6.       ถามความรู้สึก  สะท้อนความรู้สึก  เช่น

“หนูคงเสียใจ  ที่คุณครูทำโทษ” (สะท้อนความรู้สึก)

“หนูรู้สึกอย่างไรบ้าง  ที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน” (ถามความรู้สึก)

“เธอรู้สึกอย่างไรบ้าง  เมื่อถูกเพื่อนแกล้ง”  (ถามความรู้สึก)

“เธอคงโกรธที่ถูกเพื่อนแกล้ง”  (สะท้อนความรู้สึก)

“เรื่องที่คุยกันนี้คงจะกระทบความรู้สึกของหนูมาก  ครูจะคุยกันต่อได้ไหม” (สะท้อนความรู้สึก)

 

7.       ถามความคิดและสะท้อนความคิด  เช่น

“เมื่อเธอโกรธ  เธอคิดจะทำอย่างไรต่อไป”  (ถามความคิด)

เมื่อเด็กตอบว่า  “ผมอยากกลับไปชกหน้ามัน”  ควรพูดต่อไปว่า

“เธอโกรธมากจนคิดว่าน่าจะกลับไปชกหน้าเขา”  (สะท้อนความคิด)

การถามและสะท้อนความรู้สึกและความคิด  จะได้ประโยชน์มาก  เพราะจะทำให้เด็กรู้สึกว่า  เราเข้าใจ(ความคิด และความรู้สึก)ของเขา  ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี  เป็นพวกเดียวกัน  และจะเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น  ชักจูงได้ง่ายขึ้น

 

8.       การกระตุ้นให้คิดด้วยตนเอง

ในการฝึกให้เด็กคิดและแก้ปัญหานั้น  ควรฝึกให้เด็กคิดเองก่อนเสมอ  เมื่อเด็กคิดไม่ออก  ไม่รอบคอบ  ไม่กว้าง  ครูอาจช่วยชี้แนะให้ในตอนท้าย  เช่น 

“เธอคิดว่าปัญหาอยู่ที่ไหน”  (ให้คิดสรุปหาสาเหตุของปัญหา)

“แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไปดี”  (ให้คิดหาทางออก)

“ทางออกแบบอื่นละ  มีวิธีการอื่นหรือไม่”  (ให้หาทางเลือกอื่นๆ  ความเป็นไปได้อื่นๆ)

“ทำแบบนี้  แล้วคาดว่าผลจะเป็นอย่างไร”  (ให้คิดถึงผลที่ตามมา)

“เป็นไปได้ใหม  ถ้าจะทำแบบนี้....(แนะนำ).......เธอคิดอย่างไรบ้าง”

 

เอกสารอ้างอิง

1.  กรมสุขภาพจิต  กระทรวงสาธารณสุข  คู่มือดูแลสุขภาพจิตเด็กวัยเรียน  โรงพิมพ์ ร.ส.พ. กรุงเทพฯ

2.  พนม  เกตุมาน  สุขใจกับลูกวัยรุ่น  บริษัทแปลน พับลิชชิ่ง  จำกัด  กรุงเทพฯ  2535  ISBN  974-7020-31-9

 

 

 

 

<ห้องรับแขก

  คลินิคจิต-ประสาท 563 ถ.สามเสน แขวงวชิรพยาบาล  เขตดุสิต  กทม 10300  โทร. 0-2243-2142  0-2668-9435

   ส่งเมล์ถึง panom@psyclin.co.th พร้อมด้วยข้อสงสัยหรือข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเว็บไซท์นี้
   ปรับปรุงแก้ไขครั้งล่าสุด:21/05/50