บริษัทคลินิคจิต-ประสาท |
|
ความรู้เรื่องโรคทางจิตเวชและปัญหาพฤติกรรม โรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder) พ.ญ.บุษกร ภมร อารมณ์ซึมเศร้า หดหู่ หรือสิ้นหวัง อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ในช่วงหนึ่งช่วงใดของชีวิต ซึ่งอาจเกิดจากความผิดหวัง หรือการสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รัก เช่น การเสียชีวิต การหย่าร้าง ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกปกติธรรมดาที่มีกันในชีวิตประจำวัน ที่อาจมีมากบ้างน้อยบ้าง อย่างไรก็ตาม หากอารมณ์เศร้าที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอยู่นานโดยไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น หรือเป็นรุนแรง และมีอาการต่าง ๆ เช่น นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงมาก หมดความสนใจต่อโลกภายนอก ไม่คิดอยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ก็อาจจะเข้าข่ายของโรคซึมเศร้า หากไม่ได้รับการตรวจและรักษาอย่างถูกต้อง จะก่อให้เกิดผลกระทบทั้งต่อตัวผู้ป่วย และผู้ใกล้ชิด ทั้งในด้านชีวิตการงาน สังคม และครอบครัว การเป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้หมายความว่าผู้ที่เป็น เป็นคนอ่อนแอ คิดมาก หรือเป็นคนไม่สู้ปัญหา เอาแต่ท้อแท้ ซึมเศร้า ที่ผู้ป่วยมีอาการเช่นนั้นเป็นจากตัวโรค พูดง่าย ๆ ก็คือโรคนี้ทำให้เขาเกิดความเบื่อหน่าย ทำให้ไม่มีสมาธิจะทำอะไร ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม โรคก็จะทุเลาลง ผู้ป่วยก็จะกลับมาเป็นผู้ที่มีจิตใจแจ่มใส ทำอะไรต่าง ๆ ได้เหมือนเดิม อาการ หลักเกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคซึมเศร้า (major depressive disorder) อาจพิจารณาโดยมีอาการต่าง ๆ ดังนี้ ก. มีข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ เบื่อหน่ายหมดความสนใจในสิ่งต่าง ๆ อารมณ์ซึมเศร้า ข. ร่วมกับมีอาการดังต่อไปนี้ตั้งแต่ 4 อาการขึ้นไป เบื่ออาหาร หรือน้ำหนักลด นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ความคิด การเคลื่อนไหวเชื่องช้า หรือกระสับกระส่าย สมาธิ ความจำเสื่อม มีความคิดอยากตาย รู้สึกตนเองไร้ค่า ตำหนิตนเอง โดยมีอาการเหล่านี้แทบทุกวัน ติดต่อกันนานอย่างน้อย 2 สัปดาห์ นอกจากนี้อาจประเมินภาวะอารมณ์เศร้า โดยใช้แบบประเมินภาวะอารมณ์เศร้า ( คลิกดูรายละเอียด) แล้วนำมาคิดคะแนน ถ้าคะแนนรวมน้อยกว่า 21 แสดงว่าไม่มีภาวะซึมเศร้า สาเหตุของโรคซึมเศร้า s กรรมพันธุ์ พบว่ากรรมพันธุ์มีส่วนเกี่ยวข้องในโรคซึมเศร้า โดยพบว่าญาติใกล้ชิดของผู้ป่วย ได้แก่ พ่อ แม่ พี่น้อง ลูก มีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้มากกว่าคนปกติทั่วไป 1.5 - 3 เท่า s ปัจจัยทางชีวภาพ พบว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายเปลี่ยนแปลงไป เป็นผลมาจากมีความผิดปกติของระบบสารเคมีในสมอง โดยสารเคมีดังกล่าวที่สำคัญ ได้แก่ ซีโรโทนิน (serotonin) และ นอร์เอปิเนฟริน (norepinephrine) ทำงานบกพร่องลงไป s สาเหตุทางจิตใจ ผู้ป่วยที่มีอารมณ์เศร้า อาจเป็นจากการที่ตนเองมีการมองสิ่งต่าง ๆ ในด้านลบ ได้แก่ มองตนเองในแง่ลบ รู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า ไม่มีความสำคัญแก่ใคร มองอดีตเห็นแต่ความบกพร่องของตนเอง หรือมองโลกในแง่ร้าย โดยสรุป โรคซึมเศร้านั้นไม่ได้มีสาเหตุแต่เพียงปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเท่านั้น มักมีปัจจัยร่วมกันหลาย ๆ ด้าน
ขั้นตอนการรักษาและฟื้นฟูจิตใจ ผู้ป่วยด้วยโรคซึมเศร้ามักจะรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า ไม่มีใครสนใจ รู้สึกสิ้นหวัง ไม่อยากจะสู้ปัญหาอะไร ๆ อีกเล้ว แต่ขอให้มั่นใจว่าความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้เป็นอยู่ตลอดไป โรคนี้รักษาให้หายขาดได้ เมื่ออาการของโรคดีขึ้น มุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ ในแง่ลบจะเปลี่ยนไป ความมั่นใจในตนเองจะเพิ่มขึ้น เริ่มมีกำลังใจที่จะสู้ปัญหา ดังนั้น เมื่อป่วยด้วยโรคซึมเศร้า ถ้ามีอาการมาก ๆ ต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และอาจต้องอาศัยการรับประทานยาร่วมกับวิธีอื่น ๆ วิธีการรักษาโรคซึมเศร้า v พบและปรึกษาแพทย์ จิตแพทย์ตามสถานพยาบาลต่าง ๆ สามารถให้คำปรึกษาหรือวางแผนการรักษาร่วมกับคุณได้ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้อาการของคุณเป็นปกติได้เร็วยิ่งขึ้น ในบางกรณีการรับคำปรึกษาอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องมีการรับประทานยาต่อต้านอารมณ์ซึมเศร้า (antidepressant drug) ควบคู่กันไปด้วย เพื่อช่วยให้อาการดีขึ้น : ยาต่อต้านอารมณ์เศร้า (antidepressant drug) ใช้ได้ผลดีในการรักษาโรคซึมเศร้า แต่ต้องใช้เวลา โดยทั่วไปจะเห็นผลการรักษาหลังจากได้ยาไปแล้ว 1 - 2 สัปดาห์ และเมื่ออาการดีขึ้น ยังจำเป็นต้องรับประทานยาต่ออย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันโรคกลับกำเริบ (relapse) โดยจะให้ยาต่อไปนี้นาน 4 - 6 เดือน แล้วจึงค่อย ๆ ลดยาลง โดยใช้เวลาเป็นเดือน ไม่ควรจะหยุดยาเองทันทีเพราะจะทำให้เกิดอาการไม่สบาย (withdrawal effects) และหากผู้ป่วยมีประวัติป่วยเป็นโรคซึมเศร้า 2 - 3 ครั้งขึ้นไป ควรให้รับประทานยาต่อเนื่องไปนานอย่างน้อย 2-3 ปี เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ (recurrence) v การช่วยเหลือทางด้านจิตใจเบื้องต้น s การดูแลเอาใจใส่ตนเอง 1. โดยการทำกิจกรรมที่เพลิดเพลิน เช่น การออกกำลังกาย ซึ่งจะทำให้ร่างกายแข็งแรง เพราะทำให้การนอนหลับดีขึ้น การรับประทานอาหารดีขึ้น การขับถ่ายดีขึ้น นอกจากนี้จะทำให้จิตใจสบายด้วย 2. พยายามอย่าอยู่คนเดียว การพูดคุยระบายความทุกข์ใจกับคนใกล้ชิด ก็จะช่วยให้คลายทุกข์ลง และได้รับกำลังใจจากคนข้างเคียง 3. การฝึกวิธีคิดที่จะช่วยให้ดีขึ้น เช่น การมองข้อดีของตนเองให้มากขึ้น 4. อย่าด่วนตัดสินใจเรื่องที่สำคัญต่อชีวิตในขณะที่มีอาการของโรคซึมเศร้ามาก ๆ เพราะจะทำให้การมองเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเชิงลบ และอาจทำให้การตัดสินใจผิดพลาดได้ ควรเลื่อนการตัดสินใจไปก่อน หากจำเป็นต้องรีบตัดสินใจ ควรปรึกษาผู้ใกล้ชิดหลาย ๆ คน ก่อนจะตัดสินใจอะไรลงไป 5. ฝึกเทคนิคผ่อนคลาย เพื่อให้สมองทำงานดีขึ้น แล้วทำให้จิตใจผ่อนคลาย เทคนิคผ่อนคลายอย่างง่ายคือ การฝึกควบคุมการหายใจ s การประเมินความเสี่ยงของการฆ่าตัวตาย (suicidal risk) ถ้ามีควรรับการรักษาเป็นผู้ป่วยในที่โรงพยาบาล หรือมีญาติดูแลใกล้ชิด และให้คำแนะนำแก่ญาติในการดูแลเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย เช่น à ไม่ควรปล่อยผู้ป่วยอยู่คนเดียว ควรมีผู้ดูแลเป็นเพื่อนตลอดเวลา à เก็บของมีคม ยาอันตราย หรือสิ่งของที่อาจนำมาใช้ทำร้ายตนเอง à จัดให้อยู่ห้องพักชั้นล่าง ถ้าจำเป็นต้องอยู่ชั้นบนก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ออกไปอยู่ที่ระเบียงหรือหน้าต่าง (เพื่อป้องกันการโดดตึก) à ไม่พูดจาตำหนิ ประชดประชัน หรือพูดท้าทายให้ทำร้ายตนเองอีก à จัดสิ่งแวดล้อมให้มีบรรยากาศผ่อนคลาย และไม่มีอุปกรณ์เครื่องใช้ที่อาจนำมาเป็นเครื่องมือในการทำร้ายตนเอง เช่น แก้ว เชือก
|
คลินิคจิต-ประสาท 563 ถ.สามเสน แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กทม 10300 โทร. 0-2243-2142 0-2668-9435
ส่งเมล์ถึง
panom@psyclin.co.th พร้อมด้วยข้อสงสัยหรือข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเว็บไซท์นี้
|